ยังไม่ได้บอกทุกคนเลยเพราะเดินทางมาเหนื่อยไปทำธุระนอกบ้านบ่อยจนเพิ่งว่างมาทำครับ ตอนนี้กลับมาพักผ่อนที่ไทย แต่อีกไม่กี่วันก็จะกลับไปทำงานที่ญี่ปุ่นแล้ว เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์จากมุมมองของผมที่มีต่อประเทศไทยหลังจากไม่ได้กลับมานานครับ

สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่รายการ ให้ Japanese รายการที่จะให้คุณรู้เรื่องราวเกี่ยวกับญี่ปุ่นมากขึ้น กับผม ซันชิโร่ เช่นเคยครับ

เอาจริงตั้งแต่ที่ผมเริ่มทำพ็อดแคสต์นี้ ก็ไม่เคยกลับประเทศไทยเลยครับ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมาก็เพิ่งจะได้กลับประเทศไทยนี่แหละครับ ไม่ได้ออกนอกเกาะญี่ปุ่นมานาน ตอนจัดกระเป๋าก็ลน ๆ แล้วเผลอซื้อของฝากมาเยอะเกิน กระเป๋าหนักมากเลยครับ ตอนกลับก็กลับมาสายการบินไทย ไม่ได้นั่งเครื่องมานาน รู้สึกสิ่งอำนวยความสะดวกดีขึ้น แอร์ไทยก็ทำงานมีประสิทธิภาพและเป็นกันเองดีครับ ปกติขึ้นแต่สายการบิน ANA แต่ด้วยความที่ตั๋วแพงกว่าเป็นหมื่นเยน ผมไม่สู้ครับ..

ลงจากเครื่องปุ๊บเดินผ่านจุดตรวจคนเข้าเมืองแบบสบายมาก ๆ รอกระเป๋าก็ไม่นานมาก แล้วก็เดินออกนอกเกทเตรียมเข้าเมือง แน่นอนว่าต้องผ่านด่านศุลกากร ปกติผมไม่เคยโดนเรียกเลยนะ แต่คราวนี้สงสัยแต่งตัวดีเกินไป เลยโดนเจ้าหน้าที่เรียกไปตรวจ แต่จะบอกว่าตรวจไปก็ไม่เจอ เพราะไม่ได้รับฝากซื้อของจากใครเลย ฮ่า มีอย่างมากก็อาหารแห้งที่คุณแม่ฝากซื้อครับ

พอเริ่มกลับมาเดินทางในไทยก็เริ่มเกิด Reverse culture shock (ぎゃく)カルチャー・ショックกับตัวเอง หลาย ๆ อย่างครับ เช่น คนไทยยืนนิ่งเวลาเพลงชาติขึ้น.. ฟุตบาทที่ไทยบางทีไม่เอื้ออำนวยต่อผู้ใช้รถเข็นและกระเป๋าลากมาก ๆ ประเทศไทยรถติดได้น่ากลัวมาก คุยโทรศัพท์บนรถไฟได้ อาหารที่ไทยหาซื้อง่ายกว่าทำเอง.. ก็ขอจัดเป็นหมวดหมู่หน่อยแล้วกัน

เรื่องอาหารครับ

ประเด็นแรก อาหารที่ไทยถูกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

หลังจากนั้นก็เดินทางเข้าเมืองไปเก็บกระเป๋าไปกินข้าวกับเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยที่ร้าน Steve’s cuisine ก็ตื่นเต้นมากว่า ว้าว อาหารไทยถูกกกกกกกกกกกก สั่งรัวมากจนเพื่อนต้องยั้ง ๆ ว่า พอก่อนไหม.. ลืมตัวจริง ๆ ครับ อาหารที่นี่จานละร้อยสองร้อยนี่คือรู้สึกว่าถูกมาก กลับกับตอนที่เพิ่งไปญี่ปุ่นใหม่ ๆ เลยที่รู้สึกว่าอาหารที่นั่นแพงจัง ไม่อยากกินข้าวนอกบ้านเลย.. แล้วยิ่งแถวบ้านผมที่หาดใหญ่ ซื้อขนมจีน แถมผักไม่อั้น บวกของหวานอีกนิดหน่อย ราคาสองร้อยกว่าบาทก็กินอิ่มได้ทั้งบ้านแล้ว ถูกขนาดนี้หาที่ญี่ปุ่นไม่ได้แน่นอนครับ

ประเด็นที่สอง ของอร่อยเยอะ แต่ก็อ้วนง่าย (เพราะมันอร่อยจริง ๆ) อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวมาก ๆ เพราะช่วงนี้พยายามที่จะลดไขมัน ก็จะกินแต่ของต้ม นึ่ง อบ ไม่มีของทอดเลย แต่ประเทศไทยนั้น อาหารอร่อย ส่วนใหญ่ก็จะผัด ทอด แกงกะทิ โอ้โห รู้สึกว่าคนที่ผอมในประเทศไทยนี้ต้องอดมาก ๆ ครับ ทั้งอดกินของอร่อย และอดทนมาก ๆ นับถือคนที่ผอมที่นี่ได้มาก ๆ ที่มีพลังใจควบคุมตัวเองไม่ให้กินของที่ไขมันเยอะ ๆ ได้สุดยอดมาก

ประเด็นที่สาม จะกินน้ำ ต้องสั่ง ที่ไทยต้องสั่งน้ำเป็นขวด ๆ อันนี้ตอนแรกลืม เพราะงง ๆ ว่า เอ๊ะทำไมพนักงานถามว่าจะเติมน้ำไหมคะ ที่ญี่ปุ่นน้ำประปาดื่มได้ ร้านทั้งหลายก็จะเสิร์ฟน้ำให้ฟรีล่ะครับ แล้วเวลาจะเติมน้ำ เขาก็ไม่ค่อยจะมาเติมให้เพราะมันฟรี ต้องเรียกเขามาเติม แต่ที่นี่น้ำไม่ฟรี เลยมาขายเรื่อย ๆ หรือเปล่านะ

ประเด็นที่สี่คือ พนักงานร้านอาหารเดี๋ยวนี้พูดเพราะมากครับ ขออนุญาตทุกอากัปกิริยาจะมีการขออนุญาตนะครับ ขออนุญาตนะคะ ผมรู้สึกว่าต่างจากคราวก่อนที่ผมมามาก ๆ แสดงว่ามีการอบรบพนักงานบริการที่ดีขึ้น ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ เลยครับ ที่ยังคงความเป็นคนไทยยิ้มแย้มจากใจจริง บวกกับการบริการที่ดีเยี่ยมอย่างนี้ ใครจะไม่ชอบกินข้าวนอกบ้านล่ะเนอะ ที่บอกงี้เพราะว่าคนญี่ปุ่นเขามักจะใช้รอยยิ้มที่เรียกว่า 愛想笑(あいそわらい)Business smile รอยยิ้มบริการ คือหน้า รอยตีนกาอะไรก็ขยับหมดแหละ แค่ผมรู้สึกว่ามันเฟค.. และสิ่งที่ทำให้เฟคหนักกว่าเดิมคือ เขามักจะใช้เสียงสองเรียกลูกค้าครับ..

เรื่องที่สองคือการขึ้นรถไฟฟ้าที่ไทยครับ.. อันนี้มีหลายประเด็นมาก หลัก ๆ ก็คือรถไฟที่ไทยช่วงที่ยังไม่ถึงจุดเปลี่ยนต่อรถไฟฟ้ากับใต้ดินผมว่ารถไฟไม่แน่นเลยเมื่อเทียบกับญี่ปุ่น ถ้ากล้าแทรกแบบคนญี่ปุ่นก็จะเข้าได้สบายมาก โดยเฉพาะบริเวณตรงกลางระหว่างประตูที่เป็นที่นั่งผู้โดยสารครับ ตรงนั้นจะโล่งมาก ๆ ถ้าเบียดได้ก็ยืนสบายเลย ถ้าใครอยากฝึกทักษะการเบียด ก็ลองไปอยู่โตเกียว นาโงย่า โอซาก้า ซักพักนึง กลับมาจะรู้สึกว่ารถไฟที่ไทยยืนสบ๊ายยยย

ประเด็นที่สอง รถไฟที่ไทยเสียงเยอะฮะ ทั้งเสียงโฆษณา เสียงคนคุยโทรศัพท์ เสียงประกาศรถไฟ อันนี้แค่ไม่ชินเฉย ๆ ครับ เพราะที่ญี่ปุ่นเงียบมว๊ากกก หลับสบายตลอดเลย มีแต่เสียงประกาศของรถไฟ

ประเด็นที่สาม ตอนขึ้นรถไฟฟ้าโดนปลายผมของคนผมยาวบ่อยฮะ.. น่าจะเพราะบ้านเราอากาศร้อน ทุกคนก็เลยรวบผมขึ้นมา ทำให้กลายเป็นช่อหนามทิ่มแทงได้ครับ ผมก็ลองคิดย้อนว่า เอ แล้วที่ญี่ปุ่นเป็นยังไงนะ ก็นึกได้สองเรื่องคือ หนึ่ง ที่ญี่ปุ่นรู้สึกจำนวนผู้หญิงที่ออกมาขึ้นรถไฟมีน้อยครับ!!! สองคือส่วนใหญ่เขาจะไม่รวบรวม ปล่อยผมยาวแบบผ่านการอัดสเปรย์ให้คงรูปไว้ หรือไม่ถ้ามัดก็จะมัดให้ต่ำ ๆ ไม่เป็นช่อหนามทิ่มแทงครับ

รถไฟฟ้าก็มีประมาณนี้ครับ ถ้ากลับญี่ปุ่นแล้วอาจจะนึกออกเพิ่มเติมอีกไว้มาบอกครับ

ประเด็นที่สามอันนี้น่าจะเพราะได้ขับรถไปทำงานที่ญี่ปุ่นทุกวันเลยมองเห็นอะไรต่างไปมาก ๆ ในรอบนี้คือการขับรถที่ไทยครับ ตอนคุยกับคนญี่ปุ่นที่ทำงานก่อนมาไทย เขาก็ลือกันให้แซดเลยว่า ประเทศไทยขึ้นชื่อเรื่อง 1 การจราจรติดขัดที่สุดในโลก 2 มีอุบัติเหตุทางท้องถนนมากที่สุดในโลก กลับมาก็ได้นั่งรถที่บ้านไปไหนมาไหนเต็มไปหมดเลย ก็จะมีเรื่องเออ ที่นู่นเขาไม่มีมีแต่ที่นี่ประมาณนี้ครับ

  1. มอเตอร์ไซค์เยอะมาก มอเตอร์ไซค์ที่นี่มีความคล่องตัว เหมาะแก่การใช้ในบ้านเมืองที่รถติดแบบบ้านเราสุด ๆ เพราะสามารถแทรกแซงช่องระว่างรถได้สบาย ๆ แต่ที่ญี่ปุ่น มอเตอร์ไซค์คันเล็ก ๆ หรือแม้แต่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ ๆ จะนับว่าเป็นรถคันนึง เขาจะไม่มาแทรกในเวลาปกติเท่าบ้านเราครับ ก็คือกินช่องเดินรถไปเลยช่องนึง เหมือนเป็นรถคันนึงครับ แต่ก็นะ บ้านเขารถไม่เยอะ ถึงรถเยอะก็มีถนนที่กว้างพอให้รถไม่ต้องมาเบียดเสียดกันครับ
  2. ที่ญี่ปุ่นมีที่จอดรถบนถนนน้อยมากกกกกก และเสียเงินทุกที่ แต่ที่ไทย จอดได้แทบทุกที่ มีแค่บางที่ที่ต้องเสียเงิน ยิ่งที่หาดใหญ่ตรงที่มีร้านอาหารจะมีรถจอดลงไปรับประทานอาหารกันเยอะมาก ทำให้ถนนที่เล็กอยู่แล้วก็เล็กเข้าไปอี๊กกกก ก็เลยนึกสงสัยว่าทำไมถนนเล็กแล้วยังจอดอีก ก็เพราะว่าทางร้านไม่ได้ทำที่จอดรถไว้ให้นั่นเองครับ ที่จังหวัดโทจิงิที่ผมอยู่สงสัยที่ดินถูก ร้านอาหารสมมติมีที่ 10 ไร่ เขาจะแบ่ง 2-3 ไร่ไว้ทำตัวร้าน ที่เหลือทำที่จอดหมดเลยครับ ฮ่า ก็จะเห็นเป็นลานโล่ง ๆ ให้รถจอด แล้วค่อยเดินเข้าร้านกัน ถ้าร้านไหนที่ที่ไม่พอ เขาก็จะไปเช่าที่ใกล้ ๆ ทำที่จอดรถเพิ่มเติมกันครับ
  3. รถเลนขวาชอบขับแช่.. อันนี้เข้าใจว่าหลาย ๆ คนอาจจะพยายามรักษาความเร็วสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด ที่ญี่ปุ่นก็เป็นเหมือนกันล่ะครับ สมมติความเร็วสูงสุดบนทางหลวงคือ หกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็จะขับได้ประมาณแปดสิบ บางคนรีบก็อาจจะขับเร็วกว่านั้นนิดหน่อย แต่เจอคนแช่แปดสิบไว้ก็ไปต่อไม่ได้ฮะ.. ทีนี้ถ้าเป็นบนทางด่วน สปีดลิมิตก็จะสูงขึ้นนิดนึง แต่เข้าจะเขียนป้ายบ่อย ๆ เลยว่า เลนซ้ายคือเลนวิ่ง เลนขวาคือเลนแซง ก็คือถ้าไม่มั่นพออย่ามาเลนขวานะ เวลามีรถช้า ๆ อยู่เลนขวาแล้วมีรถข้างหลังเร็วกว่ามาจ่อตูดก็แปลว่าจะแซงละนะ รถที่ขับแช่ขวาก็มักจะรู้ตัว หลบซ้ายให้แซงแต่โดยดี ผมก็จะคอยดูกระจกหลังอยู่เรื่อย ๆ ว่า เอ มีคนมาจ่อตูดเราแล้วยังน๊า ถ้าเห็นแต่ไกล ๆ ว่า อ๊ะคันนี้เร็วแน่ ก็เปิดไฟเลี้ยวซ้าย เข้าเลนซ้ายให้แซงไปเลย เพราะรถเราไม่แรงพอ ยิ่งเจอรถยุโรปนะ เชิญเลยจ้า ฮอนด้าผมไม่สู้ ฮ่า ๆๆ แต่ที่นี่เหมือนจะไม่ค่อยรู้ตัวกัน.. ทำให้ต้องเปิดไฟไล่ หรือไม่ก็แซงซ้ายกัน ทำให้การขับรถน่าหวาดเสียวขึ้นมากเลยครับ..
  4. เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด.. ที่ญี่ปุ่นถ้าจะเลี้ยวซ้ายต้องรอสัญญาณไฟเขียวของทางเราก่อนถึงจะเลี้ยวซ้ายได้ เพราะถือว่าให้รถทางที่เราจะเลี้ยวเขาไปก่อน แต่ที่บ้านเรามักจะมีป้ายเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดอยู่หลาย ๆ ที่ หรือบางทีก็ไม่มีถ้าเลี้ยวไปอาจจะโดนจับนะครับ.. ตอนกลับมาสองสามวันแรกไม่ชิน เข้าไปเลนซ้ายก็จอดรอไฟแดง แล้วก็เห็นรถข้างไล่ขับมาไล่.. ก็นึกขึ้นได้ อ่อ เลี้ยวซ้ายผ่านตลอดเนอะ..
  5. ถนนที่กรุงเทพฯ ใหญ่มากกกกก โดยเฉพาะสายที่รถติด ๆ ถนนก็จะยิ่งใหญ่… หกเลน แปดเลน สิบเลนงี้ เห็นแล้วว้าวมาก เอาจริงก็เป็นสายที่ผมเคยใช้เดินทางตั้งแต่สมัยเรียนแล้วล่ะ สายแถวหน้าสยามเอย ห้าแยกลาดพร้าวเอย ทุกคนอาจจะรู้สึกว่า มันก็ขนาดนี้อยู่แล้วป่ะ แต่สำหรับผมที่เพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่นไม่ถึงสิบชั่วโมงวันนั้นคือรู้สึกว่าถนนใหญ่มาก ๆ แต่รถก็เยอะมาก ๆ ที่ญี่ปุ่นใหญ่สุด ๆ ผมก็เห็นแค่หกเลนเอง (ทั้งไปและกลับรวมกันหกเลน) ก็เลยรู้สึกประหลาดใจสุด ๆ เลยฮะ

 Reverse culture shock ของผมก็มีประมาณนี้ล่ะครับ นอกนั้นก็จะมีความเปลี่ยนแปลงของหาดใหญ่ บ้านเกิดผมจากที่มีร้านอาหารอร่อย ๆ เยอะอยู่แล้ว เพิ่มเติมคือมีร้านขนมผุดขึ้นมาเยอะมาก ๆ ทำให้มีย่านของกินเพิ่มขึ้น แล้วก็มีฟิตเนสเพิ่มขึ้นจำนวนมาก แปลว่าคนที่นี่นอกจากจะรักการกินแล้ว ก็รักการออกกำลังกายด้วย อย่างนั้นหรือเปล่านะ ฮ่าๆๆ ถ้าใครแวะมาเที่ยวหาดใหญ่ ก็มาหลาย ๆ คน หลาย ๆ วันหน่อยนะครับ เพราะร้านอาหารอร่อยเยอะมากแบบมาคนเดียวไม่กี่วันไม่คุ้มหรอก อ่อ แล้วอย่ามาวันเสาร์อาทิตย์นะครับ เพราะจะมีชาวมาเลเซียที่ชื่นชอบอาหารอร่อยเช่นกันขับรถเข้ามารับประทานอาหารอร่อย ๆ เต็มไปหมดเลยครับ

ก็จบการบรรยาย Reverse culture shock แต่เพียงเท่านี้ก่อน ที่จริงยังมีอีกเรื่องคือการพบแพทย์ที่นี่ครับ เพราะกลับหาดใหญ่รอบนี้ เปิดทัวร์พบแพทย์จำนวนมากเลย แล้วจะขนยาไปกินที่ญี่ปุ่นครับ แต่ไว้มาต่อตอนหน้าแล้วกันเนอะ

(ぎゃく)カルチャー・ショックReverse culture shock

愛想笑(あいそわらい)Business smile

ถ้าคุณติดตามรายการ ให้ Japanese มาตั้งแต่เอพิโสดที่ 1 คุณจะได้เรียนรู้คำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด 4,753 คำและสำนวนครับ

ติดตามคำศัพท์ได้ในบล็อก ตามลิงค์ในคำอธิบายนะครับ แล้วอย่าลืมติดตามรายการ ให้ Japanese กับผม ซันชิโร่ ได้ใหม่ ในทุกวันเสาร์ อาทิตย์ ได้ทาง Spotify, Youtube และ Podbean ครับ ถ้าชื่นชอบรายการ ให้ Japanese ก็อย่าลืมกดไลค์ ซับสไครบ์ และแชร์ ให้ด้วยนะครับ ถ้าอยากพูดคุยก็ส่งข้อความเข้ามาได้ทาง Facebook ให้ Japanese ได้เลยครับ ขอตัวลาไปก่อน また会いましょう สวัสดีครับ

ให้ แจแปนนีส ให้คุณรู้เรื่องราวเกี่ยวกับญี่ปุ่นมากขึ้น

FB Page: https://www.facebook.com/HiJapanese2020
Twitter: https://twitter.com/HiJapanese2020
Youtube:https://www.youtube.com/channel/UCmGORrOUCC_3BUUdUqkAH9g
Podbean: https://hijapanese.podbean.com/